Young Songwriters : นักแต่งเพลงเลือดใหม่แห่ง Spicydisc

20.4K View

NAP A LEAN

Young Songwriters : นักแต่งเพลงเลือดใหม่แห่ง Spicydisc

นักเขียนเพลงในคราบ ‘นักร้องนำ’

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฟร้อนท์แมนจะต้องเปลี่ยนบทบาทมารับหน้าที่เขียนเพลง นอกจากจะต้องคงความเป็นตัวตนของวงแล้ว ยังต้องแต่งเพลงออกมาให้ผู้ฟังเข้าใจ และที่สำคัญต้องรักในการเขียนเพลงด้วย 

‘เก็ท The Rube’ ‘จิ้ง Helmetheads’, ‘บิ๊ก Morning Soon’ และ ‘โต้ Nap A Lean’ ฟร้อนท์แมนทั้ง 4 คน จาก 4 วง จะมาเล่าประสบการณ์การเขียนเพลงให้คุณผู้อ่านได้สัมผัสความสุขนี้ไปพร้อมๆ กัน


แต่ละคนเริ่มต้นเขียนเพลงได้ยังไง

เก็ท : พอเราเริ่มทำโปรแกรมดนตรีได้ เล่นอิเล็กโทนได้เราก็ลองเขียนเพลงของตัวเองขึ้นมา ก็มีลูกทุ่งบ้าง อะไรบ้าง เริ่มทดลองทำมาเรื่อยๆ

จิ้ง : คือ Helmetheads ช่วงแรกจะเล่นเพลง Cover เลยไม่มีใครแต่งเพลงได้เลย ต้องให้พี่ๆ ช่วยแต่งเพลง แต่ต้องรอแล้วผมไม่อยากรอ เลยเริ่มหัดแต่งเพลงเอง ผมแต่งเพลงไม่เป็นนะ แต่โชคดีที่ชอบเขียนไดอารี่ แรกๆ ก็ยาก ขยำกระดาษทิ้งบ่อยเหมือนกัน

โต้ : ผมเริ่มเขียนเพลงแรกตอน ม.3 แต่งเพลงให้เพื่อนไปบอกรักผู้หญิง แต่จุดเริ่มต้นที่อยากเขียนเพลงจริงจังมาจากที่ผมฟังเพลงแล้วไม่มีเพลงที่ตรงกับชีวิตตัวเองเลย อาจจะฟังเพลงน้อยด้วย ก็เลยเริ่มเขียนเพลงที่ตัวเรารู้สึกเอง

บิ๊ก : ของผมจะเริ่มเขียนเพลงช่วงที่ออกซิงเกิ้ลกับ Spicydisc พี่เป้วงมายด์ (โปรดิวเซอร์) จะพยายามปลูกฝังว่า ต้องหัดแต่งเพลงนะเราต้องพยายามและต้องเข้าใจ ยิ่งตอนนี้ผมร้องนำก็ยิ่งต้องทำความเข้าใจกับเนื้อเพลงให้มากขึ้น เขียนครั้งแรกใช้เวลาเป็นปีเลย แต่ก็ต้องกลับไปแก้ประมาณ 4-5 รอบกว่าจะผ่าน (หัวเราะ)



"ผมแต่งเพลงไม่เป็นนะ แต่โชคดีที่ชอบเขียนไดอารี่ แรกๆ ก็ยาก ขยำกระดาษทิ้งบ่อยเหมือนกัน"  จิ้ง Helmetheads


วิธีการเขียนเพลง

โต้ : ถ้าแต่งจบแล้วเราพอใจ นั่นคือจบแล้ว ฮั้ว (กีตาร์ Nap a lean) ก็บอกแต่งเสร็จแล้วค่อยเอามาฟังใหม่ ถ้ายังชอบอยู่ก็แสดงว่าโอเคแล้วกระบวนการก็เลยเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ แต่ถ้ารู้สึกกับเพลงแป๊บเดียวก็เขียนเสร็จ ด้วยความนิสัยเสียของตัวเอง ถ้าแต่งเพลงอยู่แล้วอารมณ์หมด ก็จะทิ้งเลย เคยพยายามยัดเยียดแต่งให้เสร็จ แล้วออกมาไม่ดี พี่ก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) เพิ่งสอนมาว่า “จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ถ้าอยากเป็นมืออาชีพ” แต่ถ้าพูดถึงที่ผ่านมามันก็เป็นแบบที่พูดมานั่นแหละ (หัวเราะ)

จิ้ง : ผมจะถนัดเขียนเนื้อเพลงกับเมโลดี้ทั้งหมดขึ้นมาก่อน เขียนพร้อมๆ กันเลยแล้วค่อยมาหาคอร์ดทีหลัง เราเล่นดนตรีไม่ค่อยเก่งและไม่ได้เรียนจบดนตรีมาด้วย ก็เลยมีวิธีการที่ไม่ค่อยเหมือนกับนักดนตรีคนอื่นๆ

บิ๊ก : ของผมจะแล้วแต่เพลงนะ บางทีก็แต่งจากเรื่องราวที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงมโนเอาเองมั่วๆ ไป เหมือนเราเป็นผู้กำกับหาตัวละครมาและใส่ความรู้สึกตัวละครนั้นลงไปเล่นกับกีต้าร์โปร่ง แล้วอัดลงในมือถือ

เก็ท : ผมจะทำเมโลดี้ขึ้นมาก่อน บางทีขั้นตอนการทำงานจะไม่เหมือนกันแล้วแต่บางเพลงเหมือนที่บิ๊กบอก มันไม่มีกรอบเราเลยไม่รู้ว่าจะใส่อะไรไป ไม่รู้ว่าจะถูกต้องไหมจะดีไหม แค่อยากจะเล่า แล้วทำให้มันครบท่อนหาแรงบันดาลใจมาจากที่ไหนกันบ้าง

หาแรงบันดาลใจมาจากไหนกันบ้าง

    จิ้ง : มาจากทุกสิ่งทุกอย่างเลย มีเพลงนึงชื่อ 'วัด' แต่งขึ้นมาเพราะผมไปวัด อย่างเพลง “อันเฟรนด์ (Unfriend)” เป็นเรื่องของเพื่อนผมก็แต่งจากโมเมนต์ในชีวิตจริงหรือไม่ก็แต่งจากชีวิตเพื่อน บางทีก็ฝึกเขียนอะไรที่แปลกๆ ในมุมมองของคนอื่น

เก็ท : ผมเป็นคนที่แต่งเพลงไม่ค่อยบ่อย จะมีบางทีมันจะแว้บเข้ามาให้รู้สึกอยากแต่งเพลง อาจจะมาจากเรื่องราวของตัวเองหรือบางทีก็ตั้งใจจะแต่งให้ได้มันก็แต่งขึ้นมาได้เลย แรงบันดาลใจก็น่าจะเป็นเรื่องรอบๆ ตัวครับ

โต้ : เมื่อกี้ถามอะไรนะ (หัวเราะ) คงเป็นเรื่องที่เจอมากับตัวเองหรือไม่ก็เรื่องที่คนอื่นเล่าให้ฟังแล้วเราอิน เอาจริงๆ พอโตขึ้นเราเจออะไรมาเยอะขึ้น ก็อยากจะแต่งเพลงที่นอกเหนือจากความรักผมคิดว่าประสบการณ์ในการใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องสำคัญ

บิ๊ก : ส่วนมากก็จะเริ่มจากเรื่องตัวเอง เรื่องความรัก หรือไม่ก็เป็นเรื่องของครอบข้าง แต่บางทีที่อยากจะคิดสนุกๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใคร มโนขึ้นมาเองเลยก็ได้


“ของผมจะเป็นเพลงที่ออกแนวประชดหน่อย พวกปากไม่ตรงกับใจอย่างเพลง ไม่คิดถึงเลย” โต้ Nap A Lean

สถิติการเขียนเพลง เร็วที่สุดและนานที่สุด

จิ้ง : เคยเขียนเร็วที่สุดแค่ 4-5 นาที ก็เสร็จแล้ว ผมจะมีแบบนี้เต็มเลย (หยิบแฟ้มเขียนเพลงขึ้นมากางให้ดู) มันติดมาพอดี (ทำไมเลือกเขียนเพลงในกระดาษ?) ไม่รู้สิ ผมใช้เทคโนโลยีไม่เก่งมั้ง ความรู้สึกมันต่างกันนะ เขียนลงกระดาษกับพิมพ์ในคอม แต่ตอนนี้พัฒนาขึ้นแล้วนะ เขียนเพลงในมือถือได้ละ (ยิ้ม)

โต้ : ผมเคยเขียนเร็วมากที่สุด 15 นาทีเสร็จ อย่างเพลง “หยุดเลยอย่าร้อง” ใช้เวลาแต่ง 1 ปี แต่งมาแล้วไม่พอใจก็โละทิ้งเขียนใหม่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ

บิ๊ก : สถิติผมก็ เขียนนานสุด 1 ปี เร็วสุดก็ 2 วัน

เก็ท : ผมจำไม่ได้อะ (หัวเราะ) เราทำงานอยู่กับพี่เป้วงมายด์ จะโดนปลูกฝังว่า ถ้าจะแต่งเพลงหรือแก้เพลงก็ต้องทำให้เสร็จในวันนั้น เลยกลายเป็นว่าเราได้ฝึกฝนตัวเองไปด้วยเลย


สถานที่ที่ชอบที่สุดในการนั่งเขียนเพลง

โต้ : บ้านที่เชียงใหม่ เพราะว่าสงบและสบายใจแต่ก็มีบ้างครั้งที่เกิดขึ้นในห้องน้ำ บนรถ สนามบอล แต่ว่าที่หลักๆที่จะแต่งเพลงก็ที่บ้านที่เชียงใหม่ มีลมพัดเข้ามา มีผ้าม่านปลิวๆ นิดนึงแล้วก็หลับ (หัวเราะ)

เก็ท : ผมชอบความเงียบ ก็จะชอบเขียนอยู่ที่ห้อง อยู่ในห้องเงียบๆมีเปียโนไฟฟ้า แล้วค่อยๆ คลำเพลงไป

จิ้ง : ผมชอบที่เงียบๆ เหมือนกัน จะนั่งเขียนเพลงที่บ้านต้องเป็นตอนที่ไม่มีคนอยู่บ้านด้วย ที่บ้านเพื่อนก็ชอบเพราะเวลาอยู่รวมกันกับเพื่อน หลายคนก็จะมีเรื่องมาเล่าให้กันฟังเราจะได้มุมมองใหม่ๆ มาเสมอ

บิ๊ก : ส่วนมากก็ที่ห้องพัก ที่บ้าน เหมือนๆ กันครับจะมีบางเพลงที่เขียนตอนอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด มันเป็นบรรยากาศเราอยู่แล้วเราสบายใจ

โต้ : พอสบายใจมันก็ทิ้งทุกอย่าง ไม่ต้องกังวลอะไรความรู้สึกมันก็จะออกมาเอง อยู่บ้านสบายสุดแล้ว


เอกลักษณ์ในเพลงของแต่ละคน

จิ้ง : ไม่รู้สิ เอกลักษณ์เราเป็นยังไงอะ (หัวเราะ) อาจจะเป็นคำง่ายๆ ที่เข้าใจง่าย เพลงของ Helmetheads จะเล่าความจริงที่อาจจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคน เลยเขียนเป็นคำง่ายๆ

บิ๊ก : ผมจะใช้ภาษาที่ไม่ได้สวยหรูเป็นกวีมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะพูดตรงๆ แบบเพลงในยุค 90 มากกว่า

เก็ท : ผมก็น่าจะเป็นเรื่องของภาษาเหมือนกัน ใช้ภาษาทั้งเก่าและใหม่รวมกัน เนื้อเพลงจะออกมาเป็นไทยๆ อย่างเช่น เราจะยังใช้คำเรียก ผู้หญิงว่า ‘เจ้า’ ใช้คำที่เป็นสมัยเก่าซึ่งสมัยนี้อาจจะไม่มีใครใช้แล้ว

โต้ : ของผมจะเป็นเพลงที่ออกแนวประชดหน่อย พวกปากไม่ตรงกับใจอย่างเพลง “ไม่คิดถึงเลย” โดนแก้ไปหลายรอบ เพราะว่าประชดหนักเกินไปเดี๋ยวคนจะเชื่อว่าไม่คิดถึงจริงๆ แต่ทุกคนดูตรงกันข้ามกับผมหมดเลยอะของผมดู ผู้ยิ้งผู้หญิง (หัวเราะ)



"ผมจะใช้ภาษาที่ไม่ได้สวยหรูเป็นกวีมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะพูดตรงๆ แบบเพลงในยุค 90" บิ๊ก Morning Soon


รู้สึกยังไงกับกระแสตอบรับจากคนที่ฟังเพลงของเรา และมีคนร้องตามได้

จิ้ง : พอเห็นกระแสตอบรับแล้ว ผมเลยรู้สึกว่าเพลงมันมีพลังเวลาที่ไปเล่นสด ทั้งพวกเราและคนดูส่งให้กันพอดีเหมือนกับว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อออกไป เลยทำให้เรามั่นใจว่านี่คือทางของเรา เล่าเรื่องแบบง่ายๆ จากความจริง

โต้ : ก็รู้สึกเขินนะ แต่ภูมิใจ พอได้ยินตามคลื่นวิทยุมันเป็นความรู้สึกที่สุดยอด มีความสุขมากถ้าเปรียบเทียบก็รู้สึกปลื้มปริ่มเหมือนตอนเมียคลอดลูก แต่กูไม่มีเมียนะ (หัวเราะ) ยิ่งรู้ว่ามีคนชอบเพลงเรา ก็ยิ่งรู้สึกดี เพราะนอกจากจะมีคุณค่ากับเราแล้ว ยังมีคุณค่ากับคนอื่นด้วย เลยกลายเป็นแรงผลักดันในการทำงานของเราด้วยเลย

เก็ท : เรียกว่าเป็นความโชคดีก็ได้ ที่ The Rubeเลือกเอาวรรณคดีไทยมาใช้ในงาน เลยทำให้เป็นกระแสหลายคนหาข้อมูลเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าอย่างเรื่องรามเกียรติ์ก็เอามาเล่าแทบจะทุกตัวละครแล้วทำให้เราภูมิใจมากๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้หลายคนกลับไปศึกษาเอาไปเล่ากันต่อ จนเพลงนี้ได้รับรางวัล เป็นผลงานที่ภูมิใจมากๆ

บิ๊ก : เวลาได้ยินเพลงของตัวเองจากลำโพงใดๆก็ตามที่เปิดมาจากที่สาธารณะ ไม่ต้องเป็นซาวด์ที่ดีก็ได้มันทำใหเราได้คำตอบว่า นี่แหละคือปลายทางที่เราต้องการเพลงได้ไปถึงคนฟัง เราภูมิใจ ดีใจ และหายเหนื่อย ต่อให้มันจะดังหรือไม่ดังก็ตาม แต่เพลงเรามันได้ทำงานแล้ว



“ลองเอาในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่าง ถ้าเราไม่หยุดทำเพลงมันต้องมีสักวันนึงที่เพลงเราจะเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จ” เก็ท The Rube

อยากฝากอะไรถึงคนมีความฝันที่จะเป็นนักแต่งเพลง

โต้ : ไม่รู้เหมือนกันว่าที่พูดมาทั้งหมดมันถูกหรือมันผิดเพราะมันเป็นแนวทางการทำงานสำหรับตัวผมเองแต่ว่าอยากจะให้เริ่มทำมันจากความรัก ถ้าทำมันด้วยความรักทุกคนก็จะมีความสุข

จิ้ง : ต้องเขียนเยอะๆ และอย่าไปตีกรอบให้กับมันอยากเขียนอะไรก็เขียนเลย กล้าที่จะเขียนและลองอะไรใหม่ๆมันไปได้ทุกทางถ้าเราไม่ปิดกั้น

บิ๊ก : เขียนไปเถอะ ผมว่างานศิลปะมันไม่มีกฏอะไรหรอก ทำไปเถอะบางคนเขียนเพลงแรกแล้วดังเลย ทั้งๆ ที่ฉีกกฏทุกอย่างทำมันด้วยความสนุก เราต้องสนุกและต้องรักมันทำไปเลยไม่ต้องไปสนอะไรมาก

        เก็ท : ถ้าเราเลือกทางนี้แล้ว เราต้องทำให้ได้ ต้องทำให้สุด อย่าลืมเป้าหมายหลายคนพอเริ่มท้อก็จะเริ่มเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แล้วมันก็จะไปไม่ถึงฝั่งฝันลองเอาในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่างก็ได้ สำหรับทุกอย่างเลยนะ ไม่ใช่แค่เรื่องศิลปินหรือนักแต่งเพลงอย่างเดียว ถ้าเราไม่หยุดทำเพลงมันต้องมีสักวันนึงที่เพลงเราจะเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จ


เรื่อง จรัตพร โมรา 

ภาพ SPICY DISC

0 comments
Other Magazine
or