“ขุนเขาแห่งหมี” ฟังแล้วมันทำให้นึกถึงการ์ตูนเรื่อง “ไอ้เขี้ยวเงิน”
บอย : อ๋อ..ไม่ได้มาจากการ์ตูนอะไรเลย มาจากคนชอบเรียกพี่หมีอ่ะ แล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่า เอ๊...เราเหมือนหมีเหรอ พอคนเรียกบ่อยๆ เราก็เลยมาคิดกับชื่อนี้
จริงๆ ไอ้ symbolic หมีเนี่ย มาตั้งแต่ตอน The Boy – Kor แล้ว คิดอันนี้ออกว่าพี่เหมือนแล้วพี่ก้อก็เหมือนหุ่นยนต์เนอะ แล้วก็เลยเอามาใช้ต่อกับอัลบั้มนี้
ขุนเขาแห่งหมีมันก็คือ รู้สึกว่าทำอัลบั้มชุดนี้แล้วมันยากไม่รู้ทำไม ความรู้สึกมันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เวลาทำเพลงมันดู smooth กว่านี้ เราก็เลยรู้สึกว่ามันไปเปรียบเทียบกับการขึ้นเขาอ่ะ มันไม่ได้หมือนเดินปกติ มันเหมือนเดินขึ้นเขาน่ะ มันเหนื่อยอ่ะ
เนื้อหามันโตขึ้น?
บอย : ช่าย เนื้อหามันก็เป็นไปตามชีวิตที่เรารู้สึกว่า เออถ้าเราไม่ได้อายุเท่านี้เราก็ไม่สามารถเขียนเรื่องแบบนี้นะ
"เลือกเรียนสถาปัตย์เพราะว่าคิดว่ามันวาดรูปด้วย แต่พอเข้าไปเรียนแล้วเราก็รู้ว่ามันไม่ใช่เลย" บอย
การ์ตูนเรื่องไหนที่เป็นเรื่องโปรดของพี่บอย?
บอย : พี่ก็จะชอบอะไรที่เป็นวัยเด็กของพี่อ่ะ โดเรม่อน หน้ากากเสือ ไอ้มดแดง อุลตร้าแมนทั้งหลาย ในยุค 70 อ่ะ จะชอบ
แล้ววาดการ์ตูนด้วยไหม?
บอย : ก็วาดด้วย
วาดในห้องเรียน?
บอย : พี่วาดการ์ตูนในห้องเรียนเพราะว่ามันเป็นการหนีออกจากห้อง คือหาที่ที่เฉพาะของเรา ที่เราอยู่กับตัวเองได้ในเวลาเรียนอ่ะ เด็กๆ อย่าเอาอย่างนะ
ชอบวาดชอบเขียนก็เลยทำให้เลือกเรียนสถาปัตย์?
บอย : ช่าย ตอนแรกเป็นความเข้าใจผิด (หัวเราะ) เลือกเรียนเพราะว่าคิดว่ามันวาดรูปด้วย แล้วสถาปัตย์มันคือครึ่งๆ อ่ะ ระหว่างศิลปะกับวิทยาศาสตร์ แต่พอเข้าไปเรียนแล้วเราก็รู้ว่ามันไม่ใช่เลย (หัวเราะ)
เรียนหนักไหม?
บอย : หนักมาก (เน้นเสียง) หนักแบบ โอ๊ย! แต่ชอบนะ มันทำให้เรามีขั้นตอนในการคิดแล้วก็มีจุดประสงค์ในการทำงาน
แล้วตอนที่เรียนพี่บอยก็เริ่มทำเพลงละครไปด้วย...
บอย : ใช่ อันนั้นก็เป็นความบังเอิญ เพราะว่าตลอดมาก็เล่นดนตรีกับเพื่อนแบบงูๆ ปลาๆ คือตั้งวงกับเพื่อนที่โรงเรียน ตอนเรียนจบมาก็มักจะนัดเพื่อนสมัยเรียน (มัธยม) เนี่ยมาทำดนตรีกัน ทำเล่นๆ อ่ะ ไอ้ตอนทำละครนี่คือ รุ่นพี่ปี 4 เขาทำละครกัน ตอนนั้นพี่อยู่ปี 3 รุ่นพี่เขาก็มาชวน บอกว่ามีเพลงเหลือช่วยแต่งหน่อย
แล้วเขาทราบได้ไงว่าพี่บอยแต่งเพลง
บอย :ก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เขาคงเห็นพี่เลิกเรียนก็จะมานั่งอยู่ที่บันไดหน้าคณะเล่นกีต้าร์กับเพื่อนๆ ไรเงี้ย เล่นกีต้าร์จีบสาว เขาก็คงเห็นว่าคนนี้เล่นดนตรี ก็เลยมาชวนให้แต่งเพลงนึง
พอขึ้นปี 4 เนี่ย ทั้งรุ่นมีคนเล่นดนตรีอยู่ 2-3 คน แล้วเขาก็แบ่งหน้าที่กันทำโน่นทำนี่ แล้วก็ไม่มีคนทำเพลง เขาก็เลยให้ทำ ให้แต่งเพลงละครทั้งเรื่องเลย ทำ Score คือทำหมดอ่ะ คือถ้าเทียบเป็นหน่วยสมัยนี้คือเป็นโปรดิวเซอร์เลย แล้วก็ทำเป็นซีดีขายด้วย คือทำเป็นอุตสาหกรรมครบ
แล้วชอบไหม
บอย : ทำเสร็จแล้วก็ชอบ คือตอนก่อนทำเนี่ย ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้เราจะไม่กล้าทำไง เพราะว่ามันจริงจังมาก แต่ด้วยความที่เราไม่รู้เราก็เลยกล้าทำ พอเราไม่รู้กระบวนการของมัน เราไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนดนตรีมา เราก็เลยกล้าที่จะผิดได้
หลักการสถาปัตย์ที่เอามาใช้กับเรื่องเพลงยังไงบ้าง
บอย : สถาปัตย์เนี่ยไม่เคยเอามาใช้ตรงๆ นะ เสา แสง เงา สถาปัตย์เนี่ย Architect รากศัพท์มันคือการ Govern คือการบงการคน มันคือการเดาว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นแล้วก็ออกแบบเรื่องราวตรงนั้นน่ะ ซึ่งก็คิดว่ามันเอามาใช้กับการทำเพลงได้ เพราะพี่ทำเพลงเนี่ยก็ต้องการจะสื่อสารกับคนแหละ ไม่ได้ต้องการที่จะพูดกับตัวเองคนเดียว
พอเรียนจบมาได้ทำงานสถาปัตย์ไหม
บอย : ทำ ก็ทำอยู่เกือบปี ผูกไทด์ไปทำงาน รับเงินเดือนแบบ โห! อู้ฟู่มากอ่ะ มีโอทีด้วย รวยอ่ะ พี่เรียนจบปั๊บก็ได้งานเลย พอร์ตมันก็คงโอเคประมาณหนึ่ง แล้วเราก็เลยคิดว่า เออการมีงานมันก็ไม่ยากนี่หว่า
"ส่งเดโมที่ไม่เคยใช้ให้เขาไปทั้งหมด 6 เพลง เขาก็เอาหมดเลย" บอย
แล้วไปทำงานด้านดนตรีจริงๆจังๆได้ยังไง
บอย : มีเพื่อนเรา (หนึ่ง Sleeper One – Friday) แฟนเขาเอาเดโมไปให้พี่เอก – ธเนศ วรากุลนุเคราะห์(Music Bugs) พี่เอกก็สนใจว่าอยากจะลองทำเพลงไหม ก็เลยลาออกมาทำเพลง
พี่เอกเข้มงวดไหม
บอย : โห! อยู่ที่ Music Bugs 2 ปี ทำอัลบั้ม Friday ประมาณปีนึง แล้วก็อยู่หลังจากนั้นอีกปีนึง โดยที่ส่งเพลงที่แต่งให้คนอื่นเนี่ยไม่ผ่านเลย
นั่นเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นจริงจังที่พี่บอยทำเบื้องหลังเลยใช่ไหม
บอย : เรียกว่าเบื้องหลังได้ไหม เพราะว่ามันไม่ผ่านเลย (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นก็ไปเบเกอรี่มิวสิค
ที่เบเกอรี่พี่บอยทำส่วนไหน
บอย : ที่เบเกอรี่แต่งเพลงอย่างเดียวเลย เป็นพนักงานแต่งเพลงรับเงินเดือน ต้องแต่งเพลงให้บริษัทเดือนละ 3 เพลง
แนวการทำงานต่างกันไหมระหว่าง Music Bugs กับ Bakery Music
บอย : ที่ Music Bugs จะเขียนเนื้ออย่างเดียว คือเขาจะมีทำนองมาแล้วมีวงมาให้ แต่ที่เบอเกอรี่ฯก็เอาไปทั้งเนื้อ – ทำนอง
ที่เบเกอรี่ทำให้ใครเป็นคนแรกในฐานะที่เป็นเบื้องหลัง
บอย : Project H – เพลงความลับ แต่งเพลงอย่างเดียว ชุดนั้นพี่สมเกียรติเป็นโปรดิวเซอร์ พี่ก็ส่งเดโมที่ไม่เคยใช้ให้เขาไปทั้งหมด 6 เพลง เขาก็เอาหมดเลย แล้วพี่สมเกียรติก็กำลังจะทำอัลบั้มเดี่ยวก็ให้แต่งไปใช้กับอัลบั้มเขาอีก
พี่บอยแต่งเพลงให้หลายๆ คน กับคนที่สนิทและไม่สนิท มีวิธีปรับตัวประนีประนอมในการทำงานยังไง
บอย : พี่ไม่สนิทกับใครเลย (ยิ้ม) พี่ขี้อายมาก ยิ่งไปอยู่เบเกอรี่มิวสิคนี่คือกลัวมาก เพราะมันเป็นค่ายแบบ โห เด็กนักเรียนนอกพูดภาษาอังกฤษกันแล้วก็มีแต่ตัวแสบทั้งนั้น พี่ก็ไม่กล้าคุยกับใคร (หัวเราะ)
ทำงานกับใครแล้วสนุกที่สุด
บอย : หูย มันหลากหลายนะ (หยุดคิด)
ปาล์มมี่? : น่ากลัวที่สุด (หัวเราะ) ปาล์มมี่โทรมาบอกให้เข้าไปหาที่บ้าน ไปนั่งแต่งเพลง มันยากมาก นอกจากละเอียดแล้วเราก็เกร็งด้วยไง เมื่อก่อนเราก็ดูคอนเสิร์ตเขา ไม่รู้จักกันมาก่อน ก็ชอบเขาในฐานะศิลปิน พอไปนั่งทำงานด้วยมันก็ยิ่งเกร็ง
โป้ YKPB? : อันนี้ง่ายๆ มันไม่ต้องรีบ คือทำงานแต่ละวงมันก็จะมีความแตกต่าง อย่าง 2 Day (2 Day Ago Kids) นี่มันจะต้องคลุกคลีตีโมง นั่งแต่งด้วยกัน แชร์ความคิด มันก็จะสนุกอีกแบบหนึ่ง
หรือว่าอย่างทำงานกับก้อ (P.O.P)? : โห ละเอียดมาก บางทีไอเดียเราเสนอไปก้อก็จะรับหมดอ่ะ แต่ว่าต้องลำบากยากเย็นรื้อไอเดียบ้าๆ ของเราอย่างเงี้ย เขาละเอียดมากทำงานกับคนละเอียดก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
แล้วโปรเจกท์ลูกทุ่ง The Siamese Twin มายังไง
บอย : อ๋อ ทำกับพี่คมสัน (นันทจิต) อันนี้ก็สนุก พี่คมสันก็จะไอเดียเยอะ พี่คมสันก็จะเป็นพี่ชายคนเดียวมั้งที่พี่ปรึกษาตลอดทุกเพลง ไม่นับแฟนนะ คือแฟนก็จะต้องฟังคนแรกอยู่แล้ว แต่ว่าพี่คมสันก็จะเป็นคนที่เวลาเราแต่งเพลงอะไรเราก็จะส่งให้เขาฟังว่าเป็นไงบ้างพี่
กระบวนการคิดเพลงแบบที่ทำอยู่ประจำกับลูกทุ่งต่างกันยังไง
บอย : ที่พี่ทำนี่มันเป็นการทำแบบในเชิงอินดี้อ่ะ จะพูดว่าไงดี เราไม่ใช่ลูกทุ่งไง ฉะนั้นเราทำลูกทุ่งไม่เป็นหรอก เป็นการทดลองทำลูกทุ่งในมุมมองของเรา ก็อยากจะใช้คำที่สละสลวย ที่วัยรุ่นเขาไม่ค่อยพูดกัน
"คือแฟนก็จะต้องฟังคนแรกอยู่แล้ว" บอย
ทำงานกับเวิร์คพอยท์บ่อยๆ ได้เจอกับคุณประภาส (ชลศรานนท์) บ้างไหม
บอย : สมัยนี้ไม่ได้เจอเลย แต่ว่าเมื่อก่อนเคยเจอแล้วก็เกร็งมาก พี่จิกนี่เป็นไอดอลเบอร์หนึ่ง แต่เขาไม่รู้หรอก พี่ชอบเพลงของพี่จิกมาตั้งแต่สมัยเรียน เฉลียงหรือว่าอะไรก็ตามที่เป็นลายมือเขา
ถือเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงพี่เหมือนกัน
บอย : ไม่ เพราะว่าพี่ทำไม่เป็น พี่ทำแบบเขาไม่เป็นเลย มันไม่ใช่วิธีพี่เลย แต่พี่เลื่อมใสมาก เวลาฟังเพลงเขาจะตื่นเต้นอ่ะ คืออยากทำได้อย่างนั้น แต่ว่าไม่เคยคิดเพราะมันคนละแนวกัน
ทราบว่าพี่ชอบบอย อิมเมจิ้นด้วย สนใจอะไรในเพลงของเขา
บอย : ใช่ เหมือนฟังคนเล่าเรื่องอ่ะ รู้สึกว่าเพลงเขาไร้รูปแบบ เล่าได้เฉียบขาด เฉียบคม คมคายแล้วก็โมเดิร์นมีความร่วมสมัย ก็เลยรู้สึกว่า โห มันหาฟังยากนะในยุคนี้ เขาเหมือนจอมยุทธ์อ่ะ
"ถ้าให้ทำได้อย่างเดียวในโลกก็อยากจะแต่งเพลงอย่างเดียว" บอย
ตอนนี้รู้สึกว่าเพลงไทยซบเซาลงบ้างไหม
บอย : ไม่เลยนะ ดูจะคึกคัก ซบเซาก็เรื่องเศรษฐกิจมากกว่า ทุกคนก็อยากจะเข้ามาทำสิ่งนี้กันน่ะ ไม่ซบเซาหรอก วงใหม่ๆ ก็เยอะ แล้วก็เก่งกว่าเดิมเยอะขึ้นแบบก้าวกระโดด ทุกคนเก่งมากต้องแข่งกันสูง
ช่วงนี้เห็นพี่บอยทำอะไรเยอะแยะไปหมดทั้งเขียนเพลง เป็นคอมเมนเตเตอร์ เป็นดีเจ แบบนี้พี่บอยยังมีพื้นที่เล็กๆ อยู่ไหม
บอย : เมื่อก่อนก็จะชอบเล่นของเล่น เพราะว่าเหมือนเป็นการถมเติมความฝันในวัยเด็กที่เราอยากได้ของเล่นแล้วเราไม่ค่อยได้อ่ะ พอโตขึ้นเราก็ซื้อ แต่พอมีครอบครัว มีลูกก็ไม่ค่อยได้ซื้อแล้ว เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า (หัวเราะ)
พื้นที่เล็กๆ ตอนนี้อันใหม่ก็มีเหมือนกัน คือสะสมการ์ตูน หนังสือการ์ตูนสมัยเด็กๆ อ่ะ ไปหาการ์ตูนเวอร์ชั่นที่พิมพ์ตอนเด็กๆ อยากจะมีไว้ที่บ้าน ไว้พอเราเกษียณแล้วเปิดอ่านได้ ไอ้ที่ทำทั้งหลายนี่ก็ทำเพื่อที่จะได้แต่งเพลง ถ้าให้ทำได้อย่างเดียวในโลกก็อยากจะแต่งเพลงอย่างเดียว แต่ว่ามันทำไม่ได้ไง ก็เลยต้องมีไอ้อย่างอื่นด้วย เพื่อจะให้ได้ทำสิ่งที่รัก
อยากฝากอะไรถึงผู้ใหญ่ที่หลงลืมพื้นที่เล็กๆ บ้าง
บอย : ทุกวันนี้โลกมันเครียด แล้วก็มีแต่จะเครียดมากขึ้น บางทีเราก็ไม่ต้องไปคิดแทนคนอื่นนะ เราหาพื้นที่ของเราให้โอเคก่อนดีกว่า คือไม่ต้องไปคิดว่าคนอื่นควรจะเป็นอย่างโน้นควรจะเป็นอย่างนี้ แต่ว่าเราเอาส่วนของเราให้สบายตัวก่อน ให้เป็นคนที่มีความสุขกับเรื่องรอบๆ ตัว กับหน้าที่ของเราก่อนที่จะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น
สมัยนี้มันวุ่นวายเพราะคนไปยุ่งเรื่องคนอื่นเยอะไง ก็สร้างพื้นที่เล็กๆ อะไรก็ได้ งานอดิเรก เพราะพี่ก็เชื่อว่ามนุษย์เนี่ยจะเสถียรได้คือเราจะต้องมีงานเพื่อให้ภูมิใจในตัวเอง และงานอดิเรกเพื่อที่จะบาลานซ์สิ่งนั้นน่ะ
เรียบเรียง - นวพงษ์ สุพรรณชนะบุรี