Morning Soon #เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด
คุณจำผู้ชาย 3 คน ที่ซื่อสัตย์กับความฝันในเส้นทางสายดนตรีของพวกเขาได้ไหม? (Morning Soon | นักดนตรีผู้ซื่อสัตย์ต่อความฝัน) ทั้ง บิ๊ก - อัคนี ขำตันวงษ์ (ร้องนำ/ กีต้าร์), ก๊อง - ธนรัฐ บุญเลี้ยง (เบส) และ บาส - ศรัณย์ รุจิกุลสิริ (กลอง) สมาชิกวง “Morning Soon” วงดนตรีที่ไม่เคยทิ้งความฝัน และพยายามทำทุกทางให้ฝันเป็นจริง วันนี้พวกเขาได้สานต่อความฝันของตัวเองเดินทางมาไกลเกินครึ่งทางแล้ว 3 เพลงใหม่ล่าสุดที่ถูกปล่อยออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังกันแบบสดๆ ร้อนๆ ที่แปลกหูผู้ฟังและเจ้าของเพลงก็ตื่นเต้นเหมือนได้ปล่อยเพลงแรกในชีวิตอีกครั้ง
ปล่อยเพลงไปแล้ว 3 เพลง รู้สึกยังไงกันบ้าง?
บาส : รู้สึกเหมือน 14 อีกครั้ง (หัวเราะ) ตื่นเต้นครับ เพราะพวกเราห่างหายจากการปล่อยเพลงใหม่ไปนานมาก พอกลับมาในบรรยากาศแบบนี้ มันก็รู้สึกลุกลี้ลุกลน กระวนกระวายบอกไม่ถูกเหมือนกัน เข้าไปเช็คคอมเม้นท์กับยอดวิวทุกครึ่งชั่วโมง เหมือนกำลังเห่อของเล่นใหม่
ก๊อง : เหมือนที่บาสบอกครับ เหมือนเป็นความตื่นเต้นในวัยเด็ก แบบไม่สนใจเลยว่าจะเกิดอะไรแต่รู้สึกสนุกที่ได้แชร์ผลงานเพลงของเรา เพราะหยุดกันไป 2 ปีกว่า เลยเป็นความรู้สึกอัดอั้นด้วย อีกอย่างคืออัลบั้มนี้เป็นผลงานที่พวกเราตั้งใจทำมาก พอได้ปล่อยออกไปให้ทุกคนฟังก็เลยรู้สึกดีไปหมดทุกอย่าง ยิ่งเวลาเห็นคอมเม้นท์ที่ชื่นชอบหรืออินในเพลงก็รู้สึกดีเข้าไปใหญ่ครับ
บิ๊ก : ความรู้สึกเหมือนถ่านที่ใกล้จะมอดแล้วกลับมาลุกเป็นไฟได้อีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นเหมือนที่ก๊องบอก อยากให้คนได้ฟังผลงานที่เราไปทำการบ้านมากว่า 2 ปี ทั้งพวกเราเอง โปรดิวเซอร์, HOH Music production และพี่เป้ (MILDVOCALIST) ที่ทำงานร่วมกันมา เราไปทำการบ้านกันมาจริงๆ และเราดูทุกกระแสตอบรับเลยครับ ตื่นเต้นที่คนได้ฟังผลงานของพวกเรา
ที่ตื่นเต้นเป็นเพราะสไตล์เพลงที่เปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า?
ก๊อง : ใช่ครับ ทุกองค์ประกอบรวมๆ กันเลย ทั้งภาพลักษณ์ การแต่งตัว และแนวเพลง ที่เปลี่ยนแปลงไป เรียกว่าเปลี่ยนแบบยกเครื่องเลย รู้สึกภูมิใจนำเสนอมาก (หัวเราะ)
กระแสตอบรับของทั้งสองเพลงเป็นยังไงบ้าง?
Morning Soon : คิดว่ายังต้องให้เวลาเพลงทำงานอีกสักเล็กน้อย ถ้าถามถึงกระแสตอบรับใน 24 ชั่วโมงแรก ยอดวิว 5 - 6 หมื่น คือดีมากแล้วสำหรับพวกเรา อะไรหลายๆ อย่างทำให้เราตื่นเต้นมาก
พูดคุยเรื่องเพลงมาสักพักก็อยากจะรู้แล้วว่าไอเดีย # (แฮชแท็ก) ที่พวกเขาเอามาใช้เป็นชื่อเพลงมีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมต้องเป็น #เอาที่สบายใจ, #ของตาย, #มีสไตล์มีสตางค์
อัลบั้มนี้เริ่มขึ้นได้ยังไง?
บาส : เริ่มมาจากว่าทำยังไงให้วงไม่เงียบหายไป (หัวเราะ) เป็นการกลับมาทบทวนตัวเองว่า ทำไมกระแสตอบรับก่อนหน้านี้ถึงได้ไม่เท่าที่เราหวังไว้ พวกเราเลยกลับไปทำการบ้านกัน พยายามค้นหาตัวเอง ค้นหาแนวดนตรีที่อยากนำเสนอ แล้วเราก็มองเห็นว่าเรื่องราวในปัจจุบันมีอะไรที่สามารถเอามาเล่าได้เยอะเลย พี่เป้ โปรดิวเซอร์ของพวกเราไปจับเรื่องแฮชแท็กมาได้ ก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดในอัลบั้มนี้ครับ
บิ๊ก : เหตุผลที่ต้องเป็นแฮชแท็กเพราะว่าแฮชแท็กเป็นจุดที่คนในโลกโซเชี่ยลใช้ระบายอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นชื่อเพลงเลยตั้งเป็นเหมือนแฮชแท็กสั้นๆ ที่สื่อสารตามเนื้อหาและอารมณ์ของเพลงนั้นๆ ทุกเพลงเกิดขึ้นจากการระบายความรู้สึกผ่านสิ่งที่เรียกว่า แฮชแท็ก
ส่วนเรื่องดนตรี ก่อนหน้านี้เราทำเป็นแนวดนตรีสมัยใหม่ พี่เป้เลยแนะนำว่าอยากลองปรับเปลี่ยนตามการเติบโตของวง เลยได้แนวป็อปร็อคไทยๆ สไตล์ยุค 90’s มา ทั้งของดนตรี เนื้อร้อง และทำนอง เนื้อร้องจะพูดแบบตรงไปตรงมา รู้สึกยังไงก็พูดอย่างนั้นตามสไตล์วัยรุ่นยุค 90’s
การทำงานของอัลบั้มนี้เป็นยังไงบ้าง?
บิ๊ก : แต่ละเพลงในอัลบั้มการทำงานคล้ายๆ กันเลยครับ ท้าวความไปถึงช่วงที่พักการทำเพลงของตัวเองไป พวกเราได้มีโอกาสไปทำงานเบื้องหลังให้กับวง Helmetheads และนั่นเหมือนเป็นการทดลองงาน และทำจุดไฟให้ตัวเองอีกตครั้ง เป็นประสบการณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานเบื้องหน้าของเราได้ พอได้ไอเดียมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วทำให้การทำงานจริงไม่ค่อยยาก รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอุปสรรคเท่าไหร่ แต่ส่วนที่ยากคือการจัดแจงเวลา เพราะต้องทำให้วงอื่นด้วยและทำของตัวเองด้วย
ก๊อง : 5 เพลงทั้งหมดในอัลบั้มเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกันกับอัลบั้ม Social Notwork ของ Helmetheads เลย (หัวเราะ) และอัลบั้มนี้พวกเราทำ 2 - 3 เดือนก็เสร็จทั้งหมดครับ เร็วมาก
เล่าคาแรกเตอร์ของแต่ละเพลงให้ฟังหน่อยได้มั้ย? (#เอาที่สบายใจ, #ของตาย, #มีสไตล์มีสตางค์)
บิ๊ก : #เอาที่สบายใจ เป็นเพลงแทนความรู้สึกที่อัดอั้นอยากระบาย อยากเสียดสีคนที่เรารัก ที่ชอบทำอะไรแบบไม่เห็นหัวเราเลย สุดท้ายด้วยความน้อยใจเลยประชดประชันว่าอยากทำอะไรทำไปเลย เอาที่เธอสบายใจ ดนตรีจะออกแบบมาให้ฟังได้ง่ายๆ แต่เล่นยาก คือถ้าฟังดีๆ จะรู้ว่าเราใส่รายละเอียด และไอเดียลงไปเยอะมาก ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเราเล่นดนตรีหลังห้องเรียนกัน ไม่ได้มีโซโล่มากมาย และเป็นเพลงที่สั้นมากครับ
ก๊อง : #ของตาย เปรียบเสมือนคนๆ นึงที่เป็นแฟนใครแล้วชีวิตเป็นเส้นขนานกับเขา หรือไปเป็นแฟนกับคนที่เขามีแฟนแล้ว มันทำอะไรไม่ได้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรเลย เป็นได้แค่ของตายสำหรับเขา ทั้งๆ ที่รู้ตัวดี แต่หัวใจมันรักไปแล้ว และขาดเขาไปไม่ได้ เลยยอมเป็นของตาย ดนตรีเพลงนี้จะมีไดนามิกและเข้มข้มที่สุด เป็นดนตรีแบบ Morning Soon จริงๆ ถ้าเทียบกับ #เอาที่สบายใจ เพลงนั้นดนตรีจะถูกตีกรอบเพื่อให้คนฟังได้ง่ายที่สุด แต่พอมาเป็นเพลงนี้เรามองว่าเนื้อร้องกับทำนองมันทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว เลยเป็นโอกาสให้ได้เพิ่มเติมความเป็นตัวตนของพวกเราเข้าไป
บาส : #มีสไตล์มีสตางค์ เนื้อหาเปรียบเป็นเหตุการณ์สมมติว่ามีเด็กหลังห้องคนนึงที่ไม่มีอะไรดี ไม่โดดเด่นเลย แต่ดันไปตกหลุมรักดาวโรงเรียนที่มีแต่คนมาจีบ และแต่ละคนคือมีสไตล์ทั้งนั้นแต่งตัวดี และรวย เลยเกิดคำถามกับตัวเองว่าจะจีบใครสักคนนี่ต้องรวยหรือมีสไตล์ไหม อย่างเราที่มีแค่หัวใจจะไปจีบได้รึเปล่า เป็นที่มาของเพลงนี้ครับ ดนตรีจะมีจังหวะนิดนึง ฟังแล้วโยกได้ ถือเป็นตัวตนของ Morning Soon เลยครับ จะมีกลิ่นอายแบบอเมริกัน เป็นร็อคผสมคันทรี่ มีความซับซ้อนและยากกว่าเพลงอื่นๆ พวกเราตั้งใจให้ออกมาเป็นจังหวะสนุกๆ เหมือนเวลามีวงดนตรีไปทัวร์โรงเรียนแล้วกลุ่มเด็กผู้ชายไปมันส์ไปสนุกกันตรงหน้าเวที มันแสดงถึงความสดของวัยรุ่น อยากให้คนฟังสนุกไปกับพวกเรา
#เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด แฮชแท็กนี้ในความคิดของแต่ละคนมีความหมายว่าอะไร?
บาส : ความเจ็บปวดที่ได้รับมามันคือภูมิต้านทานจากเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน เหมือนตอนโดนต่อยครั้งแรกมันเจ็บสุดๆ แต่พอจะโดนอีกครั้งเราก็จะรู้เองว่ามันจะเจ็บแบบนี้ และรู้แล้วว่าต้องป้องกันตัวยังไง เป็นเรื่องของวุฒิภาวะด้วย เช่น ตอนเป็นวัยรุ่นยังไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ทำให้เวลาอกหักครั้งแรกเลยเจ็บเป็นพิเศษ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่พอโตขึ้นก็จะรู้และเข้าใจมากขึ้น
บิ๊ก : คิดเหมือนบาสเรื่องวุฒิภาวะครับ คือวัยรุ่นเป็นวัยที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ฮอร์โมนกำลังพุ่งพล่านทำให้ไม่ค่อยใช้ความคิด เวลาเจอปัญหาอะไรเลยแก้แบบผิดๆ ทำให้ไปสร้างความเจ็บปวดมากกว่าเกิดประโยชน์ อีกอย่างคือวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังทดลองอะไรหลายๆ อย่าง เป็นไปได้ที่จะเจอกับความเจ็บปวดเยอะครับ
ก๊อง : ผมรู้สึกว่าวัยรุ่นจะยังไม่ค่อยเข้าใจความรักเท่าไหร่ อาจจะผ่านมาน้อยหรือไม่เคยเลย และส่วนใหญ่อาจจะไม่สมหวัง นี่แหละคือความเจ็บปวด หลายคนก็คงเคยเจอมาแล้วด้วย
บิ๊ก : นี่แหละครับที่เป็นที่มาของคอนเซปต์อัลบั้มนี้ ทั้งหมด 5 เพลงในอัลบั้ม จะสัมพันธ์กันหมดเลย แต่ละเพลงเป็นตัวแทนเรื่องราวของความรักตั้งแต่เริ่มจีบไปจนถึงเจ็บปวดและเข้าใจความรัก
บาส : เป็นเรื่องราวที่วัยรุ่นคนหนึ่งเติบโตและมีวุฒิภาวะมากขึ้น จนได้ตกตะกอนความคิดของตัวเอง
บิ๊ก : อีก 2 เพลงต้องรอติดตามกันต่อไปนะครับ ว่าจะเป็นเพลงอะไร
อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการทำอัลบั้มนี้?
บาส : สำหรับผมความยากคือการอัดเพลงทั้งอัลบั้มให้เสร็จภายในหนึ่งวัน วันเดียวจริงๆ ครับ โหดมาก และอีกอย่างคือการปรับรูปแบบการเล่นจากเมื่อก่อนที่เล่นสไตล์โมเดิร์น ซึ่งจะมีความซับซ้อนมาก อัลบั้มนี้ถูกตัดทอนออกไปหมดเลย เล่นง่ายกว่าเดิมแต่ใช้ความรู้สึกมากกว่าเดิมสุดๆ คือเวลาอยู่ในห้องอัดแต่ละเพลงต้องใช้อารมณ์ในการตีกลองแตกต่างกัน เพลงมันเป็นอารมณ์ไหนเราต้องตีออกมาให้ได้อารมณ์นั้น
ก๊อง : เพราะเครื่องดนตรีมันสื่อสารออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ทำให้การที่จะสื่อสารได้คนเล่นต้องรู้สึกมาจากข้างใน ต้องมีการปรับอารมณ์ในการเล่นเป็นจุดที่ยาก ผมเองก็ต้องกลับไปทำการบ้านเรื่องฟีลเพลงมากขึ้น แต่โชคดีที่ฟีลเพลงเหล่านี้มันเคยเกิดมาในยุคที่พวกเรากำลังโต ทำให้กลับไปอินได้ไม่ยาก จะยากตรงที่ต้องแสดงออกมาให้คนฟังรู้สึกได้จริงๆ
บิ๊ก : สำหรับผมคือการร้องเพลง ตอนอัดเพลงคือยากสุด ต้องอัดเพลงติดๆ กันทั้งอัลบั้มภายในหนึ่งสัปดาห์ ตกวันละเพลง ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะเพลงช้าจะใช้เวลานานมาก ซึ่งพี่เป้เป็นคนคุมการอัดร้อง เวลาคุมเพลงช้าเขาจะจี้แบบคำต่อคำเลย มีความละเอียดมาก ต้องเตรียมตัวมากเป็นพิเศษ
รวมไปถึงเนื้อเพลงที่พี่เป้แต่ง 80% และผมแต่งเพิ่ม 20% ผมต้องไปศึกษาเรื่องของภาษาเพิ่ม ว่าจะทำยังไงให้เป็นภาษาของวัยรุ่นในยุคนั้น ฝีมือผมก็จะมีภาษาจะแปลกๆ หน่อย (หัวเราะ) อีกอย่างที่ยากคือการร้องเพลงและเล่นกีต้าร์ไปด้วย ใช้เวลาปรับตัวอยู่นาน ฝึกฝนหลายปีเลยครับ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากเก่งเหมือนคุณกานต์ (ร้องนำ/ กีต้าร์ วง The Parkinson) (หัวเราะ) แล้วก็ต้องเรียนรู้วิธีรักษาเสียงให้ร้องได้นานขึ้น และดีขึ้นด้วยครับ
แต่ละคนชอบเพลงไหนที่สุด?
บาส : ผมชอบเพลง #มีสไตล์มีสตางค์ ครับ เพราะดนตรีสนุก ฟังแล้วนึกถึงตอนมัธยม ที่มีศิลปินมาทัวร์ที่โรงเรียนแล้วเราไปสนุก ไปโวยวายหน้าเวที ถอดเสื้อกระโดดขี่คอกัน พอมาถึงจุดนี้เลยอยากเปลี่ยนเป็น ศิลปินที่อยู่บนเวทีแล้วได้เห็นมุมนั้นบ้าง
ก๊อง : #เอาที่สบายใจ ครับ ชอบเนื้อหาเพราะมันตรงกับชีวิตจริงผมนิดหน่อย (หัวเราะ) และชอบฟีลของเพลงด้วย มันฟังได้เรื่อยๆ ฟังจบแล้วต้องฟังซ้ำ แบบยังไม่อยากเปิดทางไปฟังเพลงอื่น
บิ๊ก : ผมชอบเพลง #ของตาย สำหรับผมรายละเอียดของเพลงนี้ค่อนข้างที่จะเยอะสุด แต่ละท่อนการสร้างอารมณ์และการถ่ายทอดไม่เหมือนกันเลย ทั้งดนตรีและการร้อง เป็นเพลงที่ร้องยากที่สุด อัดนานที่สุดด้วย มีการใส่รายละเอียดที่มีความเป็น Morning Soon มีความพอดีของดนตรี ดุด้วย นุ่มด้วย เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ Fade out จบ มีโทนเบสที่โดดเด่น และยังมีท่อนของ ‘หมู่เฮา’ ตอนท้ายเพลงด้วย (หัวเราะ)
Spicydisc : อะไรคือท่อน ‘หมู่เฮา’ ?
บิ๊ก : ท่อน ‘หมู่เฮา’ คือ ชื่อที่พวกเราใช้เรียกท่อนร้องประสานเสียงกันเยอะๆ ครับ (หัวเราะ)