‘ไปทำงานที่เรารักกันเถอะ!’ เรามักได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ แต่ความหมายจริงๆ กับความหมายโดยนัยมันช่างต่างกันซะเหลือเกิน เพราะหลายคนที่ลั่นประโยคนี้ออกมาส่วนมาก (ส่วนมากในที่นี้คือคนรอบตัวเราเอง ไม่ได้มีผลการวิจัยใดๆ ) จะใช้น้ำเสียงปลุกใจ กระตุ้นตัวเองให้หลุดจากความเบื่อหน่ายในเนื้องานประจำของตัวเองทั้งนั้น แต่กับ “ติว - ดิษยา กรกชมาศ” นักร้องสาวสวยวง Kidnappers ประโยคข้างต้นของเธอคืองานที่เธอรักจริงๆ ถึงขั้นที่ว่าเจอคำถาม ‘เวลาเครียดกับงานคุณจัดการกับมันยังไง?’ คำตอบของเธอมีเพียงเสียงหัวเราะและคำพูดไม่กี่คำ ‘เราเคยเครียดเรื่องงานมั้ยนะ ขอนึกดูก่อน’ … ชมรมคนรักงานไปทางไหน? ชี้บอกทางเธอด้วยก็แล้วกัน :)
01
Start up for work
ติว : เราก็เป็นวัยรุ่นปกติ เวลาว่างก็ไปเดินสยาม ไปเดินจตุจักร ช่วงนั้นพอไปจตุจักรก็จะมีคนเอานามบัตรมาให้ แล้วบอกว่าเป็นโมเดลลิ่ง สมัยนั้นเราก็ใสมาก อะไรคือโมเดลลิ่งวะ? แมวมองคืออะไร? ไปเดินสยามก็ได้นามบัตรมาอีก ช่วงนั้นคือได้มาเยอะ แต่ที่บ้านก็ยังกลัว เพราะยังใหม่กับเรื่องนี้อยู่ แคสงานช่วงแรกคุณพ่อจะตามไปด้วยตลอด งานโฆษณายุคนั้นไม่เหมือนยุคนี้เลย แต่ก่อนรายได้สูง คนก็มาแคสงานเยอะ บางทีเรารอ 5 - 6 ชั่วโมงกว่าจะได้แคส งานแรกที่ได้คือถ่าย MV ตอนนั้นอยู่ปี 1 เราเริ่มทำงานตอนเรียนมหาวิทยาลัย
เราก็เริ่มจาก MV ไปเรื่อยๆ แล้วไปเป็นงานโฆษณา แรกๆ ก็ไม่ได้เป็นตัวหลักหรอก เป็น Extra main ก็จะประมาณว่า สมมติมีชมพู่ อารยา อยู่ตรงกลาง เราก็ได้อยู่ข้างๆ ชมพู่ แล้วก็จะมี Extra ข้างหลังไกลๆ อีกที พักหลังมาคนเริ่มจำหน้าได้ ก็เริ่มเป็นตัวหลักละ ก็เริ่มมีงานถ่ายภาพนิ่ง ถ่ายแฟชั่น ก็ไหลมาเรื่อยๆ จนได้เข้ามาในวงการแฟชั่น
Music Video แรกในชีวิต
ติว : โอ๊ย อ๊ายอาย! (หัวเราะ) กะแล้วว่าต้องมีคนถาม MV เพลง Bounce - กอล์ฟ & ไมค์ ค่ะ ใน MV ผู้หญิงเยอะมาก ต้องไปดูดีๆ ถึงจะเห็นเรา ใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่นนั่งทำอะไรก็ไม่รู้ตอนนั้นอะ (หัวเราะ)
ช่วงแรกเราได้ค่าตอบแทนไม่เยอะมาก แต่ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าพ่อกับแม่ให้เงินเป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าเรารับงานตรงนี้เราก็จะได้รายได้เสริม เพื่อเป็นค่าขนม จะไปซื้ออะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องขอเงินพ่อกับแม่เพิ่ม ก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องจำนวนเงิน แล้วเราไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในวงการบันเทิงด้วย ทุกอย่างมาโดยธรรมชาติ มีคนยื่นโอกาสมาเราก็ลองทำดู
แล้วตอนนั้นทำไมถึงตัดสินใจไปลองแคสงานทั้งๆ ที่ยังดูงงๆ
ติว : อยากได้ตังค์แค่นั้นเลย (หัวเราะ) ไม่ได้รู้สึกว่าฉันจะไปเป็นดาราหรือเป็นอะไร ที่ไปทำเพราะว่าเขาบอกว่ามีเงินให้ ก็ไปเลย แล้วตอนนั้นที่พ่อกับแม่เขาก็จะมีลิมิตการให้เงิน ว่าให้ได้แค่เท่านี้ จะไปขอเพิ่มก็ไม่ได้ ถ้าอยากได้เยอะกว่านั้นก็ต้องทำงาน เป็นหลักการง่ายๆ เขาให้เงินเราก็ไปเลย (หัวเราะ)
02
อาชีพที่ไม่ได้อยู่ในฝัน
ตอนเด็กๆ อยากเป็นอะไร
ติว : อืม.. (หยุดคิด) ก็เป็นพวกดีไซเนอร์ เพราะเราก็เรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนเด็กๆ ไม่ได้รู้เรื่องวงการบันเทิงเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเราชอบศิลปะ เราจะรู้ตัวเองเลยว่าทำงานศิลปะได้ดีตั้งแต่เด็กๆ เพราะเวลาที่โรงเรียนมีจัดประกวดวาดรูป รูปที่เราวาดจะได้ติดบอร์ดโรงเรียนตลอด เริ่มเทรนการเรียนวาดรูปตั้งแต่รู้ตัวเองว่าชอบศิลปะก็คือตอน ม.3 ก็เลยสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร แล้วเราก็ติดตั้งแต่รอบแรกเลย เป็นรอบโควต้า คือมุ่งมั่นมาทางศิลปะมากๆ
cr. @tiewdisaya
ทำงานตรงสายที่เรียน?
ติว : ไม่ตรงค่ะ ระหว่างที่เรียนใกล้จบเราได้งานในวงการบันเทิงเยอะขึ้น อย่างที่บอกว่าตั้งแต่ปี 1 ก็เริ่มรับงานแล้ว ก็ได้งานเรื่อยๆ พอเรียนจบก็ไม่เคยได้สมัครงานเลย ไม่เคยทำงานออฟฟิศเลย เป็นฟรีแลนซ์มาตลอด... ตอนนี้ก็ยังไม่เคยนะ (หัวเราะ)
มีอยู่ช่วงหนึ่หลายคนจะเรียกเราว่า ‘ติว Cheeze’ คือเข้าใจผิดคิดว่าเราทำงานที่ Cheeze Magazine แต่เราไม่ได้เป็นพนักงานเขานะ ที่มีช่วงหนึ่งเราเป็นบก. (บรรณาธิการนิตยสาร) ของ Cheeze Lady Magazine เริ่มมาจาก เราไปออกงานแล้วช่างภาพของ Cheeze Magazine ก็มาถ่ายรูป เรียกเราไปถ่ายบ่อยมาก กลายเป็นว่าพี่ช่างภาพของ Cheeze Magazine ทุกคนในจำเราได้ จนพี่ปู (จิรัฏฐ์ พรพนิตพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง Cheeze Magazine) บอกกับเราว่าน่าจะมีคนตามเรื่องการแต่งตัวของเราพอสมควร น่าจะพอไปเขียนคอลัมน์ได้ พี่ปูอยากให้ลองเขียนอะไรที่เป็นตัวเองดู เราก็โอเค ลองดู เริ่มเขียนให้เขาทุกเดือน เทรนด์แฟชั่นบ้าง หรือเทคนิกการแต่งตัวบ้าง ก็มีคนตามอ่านพอสมควร
แล้วหลังจากนั้นก็มีงานพิธีกรแทรกขึ้นมา เพราะ Cheeze เริ่มทำรายการทีวี เราก็ไปเป็นพิธีกรให้เขาอีd ก็เลยกลายเป็นติว Cheeze ไปเลย ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นงานประจำของเรา แต่เราไม่เคยเข้าออฟฟิศเลย อยู่บ้านตลอด (หัวเราะ)
cr. @tiewdisaya
เล่มพิเศษ
ติว : ‘Cheeze Lady Magazine’ จากที่เราเขียนแค่คอลัมน์เดียวได้สักระยะหนึ่ง พี่ปูก็อยากให้เราลองเป็นบก. เราก็โอเคแต่เราจะทำยังไง มันยากแน่ๆ เราเองก็ไม่ได้รู้หลักการทำหนังสืออะไรด้วย เราก็ทำ Mock up หนังสือเอง ทำมือล้วนเลย Handmade สุดๆ เล่มหนาเท่านี้ (กางนิ้วเกือบ 1 คืบ) ด้วยความที่เริ่มแรกเราคิดธีมมาเป็น DIY เป็นแนวสตรีทไม่จำเป็นต้องใส่ของแพงก็ได้ เราไม่อยากยัดเยียดหรือว่าปลูกฝังอะไรอย่างนั้นให้คนอ่าน เลยเป็นธีมนี้ แล้วไหนๆ ก็ DIY แล้ว ทำโปรแกรมอะไรก็ไม่เป็น ก็ทำมือเองละกัน (หัวเราะ) พี่ปูยังตกใจเลยไม่มีที่ไหนเขาทำม็อคอัพหนังสือตัดแปะทีละหน้า ตอนนั้นก็สนุกดีมันก็เป็นทุกอย่าง หานางแบบเองหาทีมมาทำงานเองทุกอย่างเลย ช่วงหลังเขาก็อยากให้เราทำประจำนะ แต่เราไม่อยากนั่งออฟฟิศก็เลยขอออกมา
ได้งานถ่ายโฆษณาจากการเป็นบก. ด้วยนะ (หัวเราะ) จำได้ว่าลูกค้าอยากได้คนที่เป็นบก. จริงๆ เพราะตอนแรกเขาก็แคสติ้งนางแบบ แต่ลูกค้าไม่ชอบ ก็เลยเชิญบก.ผู้หญิงของในหนังสือคนไทยมาแคสติ้งกัน แล้วเราก็ได้
cr. @tiewdisaya
03
ต้องสนุกกับการทำงาน
ก่อนที่จะเป็น ‘ติว Kidnappers’
ติว : โอ้โห! เกือบครบแล้วอะในวงการบันเทิง ถ่ายโฆษณา, ถ่ายแบบ, เดินแบบ, เล่น MV, พิธีกร, นักแสดง เราก็เคยเล่นภาพยนตร์มาก่อนนะ และมีละครติดต่อมาเยอะมาก แต่เราไม่รับ เราแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับละคร ก็ปฏิเสธไปเยอะเหมือนกัน (หัวเราะ)
ทำงานมาหลายอย่างมากชอบอาชีพไหนที่สุด
ติว : ชอบร้องเพลงค่ะ ไม่น่าเชื่อเน้อะ (หัวเราะ) แต่เราก็ยังรู้สึกว่าอยากเก่งกว่านี้ พยายามฝึกเพื่อเพิ่มชั่วโมงบินให้ตัวเองอยู่ เราอาจจะเอ็นเตอร์เทนคนไม่เก่ง แต่เราก็มีความสุขที่ได้ทำ เราชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว อยู่บ้านร้องคาราโอเกะประจำ เราก็คิดว่าเราทำได้ในระดีระดับหนึ่ง เรามีความสุขกับมันมากๆ พี่อู่ (ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์/ คีย์บอร์ดซินธิไซเซอร์ ), พี่เมย์ (ภควัฒน์ ไววิทยะ/ คีย์บอร์ด, กีต้าร์) เขาก็สอนเล่นดนตรีด้วยนิดหน่อย ก็เจ๋งดี