Passion started in me
‘การแต่งตัวดูมีรูปแบบหรอ? เราว่าเราไม่มีเลยนะ’ ประโยคที่ ‘จิ้ง - ชตารัช ศรีดำรงรักษ์’ ศิลปินวง Helmetheads อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจปนสงสัย เพราะสำหรับเขาแล้ว คำว่า เทรนด์การแต่งตัว ไม่เคยได้ปรากฏบนยูนิฟอร์มที่ต้องใส่ในชีวิตประจำวันเลย แต่สไตล์ที่ดูหลุดมาจากยุควินเทจ ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม และแนวเพลง ที่หลายคนจดจำเป็นเอกลักษณ์ของ จิ้ง Helmethaeds นั้น ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นแฟชั่น จริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่ความชอบและความหลงใหล ที่มีเรื่องราวและตัวตนสอดแทรกอยู่ในทุกๆ อณูของเนื้อผ้า
+เราชอบแต่งตัวนะ แต่ไม่เคยเรียนแฟชั่นเลย... เราเรียนจบคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการสื่อสารการแสดง มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) จริงๆ แล้วตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องเลือกเรียนอะไร ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำตามความฝันหรือสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วพอดีว่าเพื่อนกลุ่มเดียวกันจากมัธยมเลือกเรียนที่ ABAC กันหมด ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็เลือกเรียนตามเพื่อนครับ (ยิ้ม) พอจำได้ว่าเคยอยากไปเรียนแฟชั่นที่ต่างประเทศนะ แต่เพราะเรารู้สึกว่า แฟชั่นสำหรับเรามันคือการที่แต่งตัวออกจากบ้านแล้วเรารู้สึกมั่นใจ ไม่ได้มองว่าเป็นเทรนหรือเป็นกระแสที่คนกำลังนิยมอยู่ เลยตัดสินใจไม่ไปเรียนทางแฟชั่น แต่เราเคยเป็นคอลัมน์นิสต์ที่ Looker Magazine นะ เคยเป็นสไตล์ลิสด้วย ตอนนั้นทำแบบสนุกๆ กับเพื่อน ไม่ได้เขียนอะไรที่เป็นทางการมาก จะไปทางแนะนำเสื้อผ้ามากกว่า เพราะเราก็ยังชอบดูแฟชั่นของเบรนด์ต่างๆ อยู่
+เมื่อก่อนเราเป็นคนบ้าซื้อเสื้อผ้ามาก... ช้อปปิ้งหนักมาก เงินไปกองอยู่ที่เสื้อผ้าหมดเลย มีเสื้อผ้าเยอะมากจนล้นห้อง และมีเยอะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า ถ้าเอามานับคงหลายพันชิ้นเลย ตอนนั้นโคตรบ้า (หัวเราะ) พอโตขึ้นเราก็เริ่มแต่งตัวน้อยลง มีความพอดีมากขึ้น เพราะสไตล์เราเริ่มอยู่ตัวแล้ว เวลาแต่งตัวก็หยิบมาสลับๆ กันใส่ไป พอรู้สึกว่ามีเยอะไป ก็เอาไปให้เพื่อน เอาไปบริจาคบ้าง เพราะเราเป็นคนไม่เอาเสื้อผ้าไปขาย ชอบให้มากกว่า ตอนนี้เราย้ายบ้านใหม่ ตู้เสื้อผ้าเราเล็กนิดเดียวเอง
+เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าเราใส่แต่เสื้อผ้ามือสอง... เราว่าราคาถูกดี สวยด้วยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไปหาซื้อที่จตุจักร แต่ตอนนี้ส่วนมากจะเป็นเพื่อนๆ ให้มา เราว่าเสื้อผ้ามือสองมันดูมีเรื่องราว ความเก่าของมันดูมีเรื่องราว มีความเป็นมา ไม่เหมือนของใหม่ที่จงใจทำมาให้ดูเก่า แต่ก็มีบ้างที่อยากได้เสื้อใหม่ไว้ใส่เล่นคอนเสิร์ต เพราะเวลาไปเล่นคอนเสิร์ตถ้าใส่เสื้อใหม่บ้างเราก็จะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นจากเดิม และคนดูจะได้ไม่เบื่อด้วย
+เราไม่ได้ตั้งใจสร้างคาเร็กเตอร์ให้กับวง... จริงๆ แล้วชื่อวง Helmetheads เกิดมาจากทรงผมของเรา เพราะก่อนหน้านี้เราใช้ชื่อวงอีกชื่อหนึ่ง แต่ว่าเวลาค้นหาเพลงกับชื่อวงตามเว็บไซต์ จะค้นหาไม่ค่อยเจอ ในตอนนั้นทรงผมเราคล้ายๆ หมวกกันน็อก เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Helmetheads แทน แล้วทุกคนในวงก็เลยพากันไปตัดทรงเดียวกันกับเรา แต่ตอนนี้ทรงผมแต่ละคนก็ยาวขึ้น ก็ปรับเปลี่ยนกันไปแล้ว ไม่ได้ทำทรงเดิมให้เหมือนกันตลอด
+แนวเพลงของ Helmetheads ไม่ได้ทำตามการแต่งตัว... อาจจะเป็นเพราะซาวด์ดนตรีกับวิธีการร้องของเราที่ค่อนข้างไม่เหมือนคนอื่น บวกกับทุกเพลงจะมีกลิ่นวินเทจเล็กๆ ด้วย เพราะตอนเด็กๆ เราชอบฟังเพลงมาก ฟังตามคุณพ่อบ้าง เพื่อนบ้าง เพลงสากลจะฟังประมาณ Bee Gees, The Beatles, Modern Talking, Oasis ถ้าเพลงไทยก็เป็นแนวทั่วไป ตอนนั้นค่ายเบเกอรี่มิวสิคดังมาก เวลาที่เขียนเพลงเลยทำให้เราติดกลิ่นของยุคนั้นมานิดหน่อย และอีกอย่างเราคิดว่า คนคงติดภาพลักษณ์สไตล์แต่งตัวของวงเราไปแล้ว มีหลายครั้งที่ไม่ได้นัดกันแต่งตัว แต่ว่าดันแต่งมาแมทช์กัน
+เราคิดว่าที่คนอื่นมองว่าเราเป็นคนแต่งตัวจัดคงเป็นเพราะ… ทรงผมด้วยมั้ง จริงๆ เราไม่รู้สึกเลยนะว่าเราแต่งตัวจัด อย่างวันนี้ใส่แว่นตาสองชั้น เพราะเราสายตาสั้น ชั้นแรกเป็นเลนส์สายตา ชั้นที่สองเป็นเลนส์กันแดด คนอื่นเห็นคงมองว่าแปลก เลยทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเราไปเลย ทั้งๆ ที่มันใช้งานได้จริงในความจำเป็นของเรา และเราแค่ชอบที่แว่นนี้ดูสวยดี ดูวินเทจแบบยุค 70’s เหมือน Elton john แต่เป็นข้อดีนะ เวลาเราขายงาน ภาพลักษณ์เราก็ออกมาชัดเจน คนดูจำง่าย ซึ่งความจริงแล้วทุกคนในวงก็เป็นคนง่ายๆ ใส่แค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ แจ็คเก็ต ก็ออกไปเล่นดนตรีได้แล้ว
+ความเปลี่ยนแปลงด้านแฟชั่นในอนาคตสำหรับเรา... คงจะเปลี่ยนไปจากเดิมไม่มาก เราไม่ใช่คนที่เปลี่ยนอะไรทีเดียว 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ค่อยไปตามเทรนด์เท่าไหร่ แทบจะไม่ได้สนใจเลย เรารู้สึกว่าเราอยู่ตัวแล้วถ้าเปลี่ยนก็อาจจะเป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น กางเกงยีนส์ก็อาจจะใส่ขาม้าบ้าง รองเท้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นรองเท้าหนังบ้าง รองเท้าผ้าใบบ้าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนสักเท่าไร เราก็คงเป็นตัวเราแบบนี้แหละ อยากใส่อะไรก็หยิบมาใส่
+ถ้าให้เรานึกถึงตัวเองตอนแก่... จริงๆ ก็อีกตั้งนานนะ (หัวเราะ) แต่ถ้าให้นึกถึงตอนนั้นคงแฮปปี้ดี อาจจะยังร้องเพลง ยังกระโดดโลดเต้นอยู่บนเวทีเหมือนเดิม คือเป็นคนแก่ที่มีความสุขกับชีวิตมากๆ เหมือน Rolling stone ที่ตอนนี้เขาก็อายุเยอะกันแล้ว แต่เขาก็ยังเล่นดนตรีเหมือนตอนเขาเด็กๆ เลย คงต้องเริ่มดูแลตัวเอง ทำร่างกายให้แข็งแรง ตอนนี้เราก็ออกกำลังกายบ้าง เดินบ้างวิ่งบ้างไปเรื่อยๆ
+เราโชคดีมากที่มีความสุขและได้ทำสิ่งที่ชอบ... ตั้งแต่เด็กๆ เราไม่เคยคาดหวังว่าตัวเราจะต้องเป็นคนแบบไหน จะเป็น Rock star ได้ไหม แต่พอโตขึ้น ทุกอย่างที่เราชอบมันค่อยๆ มาปะติดปะต่อกันเอง ทั้งเรื่องดนตรี การแสดง แฟชั่น จิตวิทยา และการเขียนหนังสือ เหมือนกับว่าทุกอย่างมาประจวบเหมาะกับสิ่งที่ทำเป็นอาชีพ เพราะเราได้ใช้ทุกอย่างที่ชอบกับการที่เราเป็นนักร้องในทุกวันนี้ ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด เราเอาความชอบทุกอย่างมาใช้ได้จริง โดยที่ไม่ต้องทิ้งอะไรเลย ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาไม่เพอร์เฟ็กต์ในมุมของคนอื่น แต่นั่นคือผลงานที่ถูกกลั่นออกมาจากตัวตนของเราอย่างสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์